คาดเฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หวังกดเงินเฟ้อ
บทวิเคราะห์บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส
จำกัด รายงานว่า เครื่องมือ FedWatch Tool แสดงตัวเลขความเชื่อมั่นล่าสุดของนักลงทุนว่ามีโอกาสอยู่ที่ราว 70% ที่เฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 4.75-5.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันที่ 21-22 มี.ค. ซึ่งเราจะมาพิจารณาความเป็นไปได้ที่เฟดยังคงมุ่งมั่นจะกดเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยกัน
เริ่มต้นจากสถานการณ์ตลอดช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าการประชุมครั้งสำคัญ ที่คล้ายเป็นจุดพลิกผันเพิ่มความเสี่ยงผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดสภาพคล่องจนถึงขั้นล้มละลายลงของธนาคารขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารซิลเวอร์เกต ธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ ธนาคารซิกเนเจอร์ ธนาคารเครดิตสวิส และอีกหลายธนาคารที่เริ่มมีสัญญาณความเสี่ยงว่าอาจขาดสภาพคล่องและกำลังดิ้นรนค้นหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ให้เข้ามาช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับธนาคาร เป็นเหตุให้นักลงทุนในตลาดต่างคิดถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะคงหรือกระทั่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย แทนที่จะปรับขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ที่กล่าวย้ำให้ตลาดรับทราบมาโดยตลอดว่า เฟดมีเป้าหมายอยู่ 2 ประการ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวที่ระดับ 2% กับ ตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ เราจึงควรนำ 2 ประเด็นนี้มาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกหรือไม่
ประการแรก รายงานอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯผ่านตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ล่าสุดในเดือน ก.พ. อยู่ที่ 6% เป็นการลดระดับลงมาต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด เราจะพบว่า ราคาอาหารยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง และราคาพลังงานก็ชะลอลงจากการลดลงของราคาน้ำมัน ไม่ใช่จากค่าไฟฟ้าและค่าแก๊สหุงต้ม
เมื่อเราพิจารณาต่อไปยัง core CPI ตัวเลขล่าสุดในเดือน ก.พ. อยู่ที่ 5.5% เป็นการลดระดับลงมาต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน แต่สาเหตุหลักที่ชัดเจนเกิดจากการทรุดลงของราคาตลาดรถมือสอง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและการเดินทางยังคงเร่งตัวสูงขึ้น นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนี PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ประชาชนต้องเผชิญจริง ๆ กลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา
อัตราการว่างงานเดือน ก.พ. ในเกือบทุกกลุ่มประชากรต่างขยับเพิ่มขึ้นจากตัวเลขในเดือน ม.ค. โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับชั้นมัธยม นอกจากนี้ เป็นที่สังเกตว่า ผู้มีเชื้อสายเอเชียกำลังตกงานมากขึ้น ทั้งที่ตามปกติแล้ว มักเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานต่ำมาก ทำให้อัตราการว่างงานประจำเดือน ก.พ. พลิกตัวบวกขึ้นจาก 3.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 54 ปี มาอยู่ที่ 3.6%
ข่าวอื่นๆ คึกคัก! เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 คนแห่จองสิทธิที่พักหมดแล้ว